เทศน์พระ

กิเลสเผา

๓o ก.ค. ๒๕๕๘

 

กิเลสเผา
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์พระ วันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๕๘
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังเทศน์ ฟังเทศน์นะ วันนี้เป็นวันพระ วันพระ ๑๕ ค่ำ เป็นวันสำคัญทางพุทธศาสนา เพราะพรุ่งนี้จะเป็นวันเข้าพรรษา ถ้าวันเข้าพรรษานะเราต้องอธิษฐานพรรษา อธิษฐานพรรษาแล้วนี่ ๓ เดือนเราจะไปที่ไหนโดยแบบว่าไม่สัตตาหะไม่ได้ การสัตตาหะไป เห็นไหม สัตตาหะไป ๗ วัน ถ้าการสัตตาหะไปเนี่ย ถ้าสมัยครูบาอาจารย์เราท่านจะสัตตาหะต่อเมื่อมีความเป็นจริง แต่ในสมัยปัจจุบันนี้ในเมื่อธรรมวินัยเปิดช่องไว้ให้สัตตาหะได้ก็เลยสัตตาหะกันเป็นสัพเพเหระ มันไม่มีความจำเป็น

ถ้ามีความจำเป็น แม้แต่พระวัดใดก็แล้วแต่ ไม่มีผู้สวดปาฏิโมกข์ ไปเรียนปาฏิโมกข์ ไปเรียนสมัยพุทธกาลยังไม่มีตำรับตำรา มันต้องเรียนปากต่อปาก ถ้าที่ไหนไม่มีพระปาฏิโมกข์ให้สัตตาหะไปเรียนให้ได้ เพราะถ้าเรียนมาไม่ได้ เห็นไหม ถ้าไม่สวดปาฏิโมกข์ ไม่สวดปาฏิโมกข์ ไม่บอกไม่แสดงความบริสุทธิ์ภายใน ๑๕ วัน ปรับปาจิตตีย์ทุกองค์

ฉะนั้น เวลาสัตตาหะไปเรียน บอกว่าสัตตาหะไปเรียนปาฏิโมกข์ยังสัตตาหะไปเรียนได้ ทำไมจะสัตตาหะไปเรื่องธุระความจำเป็นไม่ได้ สัตตาหะไปธุระความจำเป็นมันความจำเป็นของกิเลสไง ถ้าเป็นความจำเป็นของกิเลสนะ กิเลสมันจะมีความจำเป็น มันมีความจำเป็นทั้งนั้น เพราะกิเลสของใครเข้มข้น กิเลสของใครเจือจาง กิเลสของใคร กิเลสของใครคือความเห็น ถ้ากิเลสของใคร ใครยึดมั่นกิเลสอันใดมันก็ว่ามีความจำเป็นทั้งนั้น ถ้ามีความจำเป็น ความจำเป็นของใคร ความจำเป็นของกิเลสไง กิเลสมันยุมันแหย่ กิเลสมันเป่าหู เวลากิเลสมันเป่าหู อู้อูย! ร้อนเป็นไฟเชียว แต่เวลาธรรมล่ะ เห็นไหม

นี่จะเข้าพรรษา เวลาเข้าพรรษาให้อยู่จำพรรษาแล้วให้พยายามประพฤติปฏิบัติให้เข้มข้นขึ้นมา เพราะออกพรรษาแล้วเราธุดงค์ไป ธุดงค์ไปเราก็ไปแสวงหาความสงัดความวิเวกมาพอสมควรแล้ว เวลาหน้าพรรษาเราจะเข้าพรรษาประจำที่ประจำทาง ประจำที่ประจำทางนะ เราจะต้องเตรียมพร้อม เห็นไหม เราอยู่กับครูบาอาจารย์นะ ก่อนจะเข้าพรรษานี่มันเป็นการเตรียมพร้อมเต็มที่ เตรียมพร้อมเต็มที่ เห็นไหม เตรียมไม้กวาดไว้ เตรียมทุกอย่างไว้ว่าใน ๓ เดือนนี้ต้องพอใช้

ก่อนเข้าพรรษานะ เราอยู่กับครูบาอาจารย์สมัยโบราณนะ เวลาจะเข้าพรรษานี่ ก่อนจะเข้าพรรษานี่ภายใน ๑๕ วัน เราจะหาฟืน หาฟืนไว้ต้มน้ำ ต้มน้ำไว้ถวายครูบาอาจารย์ ถวายพระผู้ใหญ่ หาฟืนหาทุกอย่างเตรียมพร้อมไว้ เตรียมพร้อมไว้ว่าใน ๓ เดือนนี้เราจะเข้มข้น เราจะจริงจังกับการประพฤติปฏิบัติ เราจะไม่ให้สิ่งใดเข้ามาแย่งชิงเวลาของเราไปเลย เห็นไหม เขาเตรียมเพื่อจะประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม บำเพ็ญธรรม ตบะธรรม ความตบะธรรมให้ธรรมะมันแผดเผา ถ้าธรรมะ ตบะธรรมมันแผดเผากิเลสไง ถ้าคนที่มีสัจจะมีความจริงเขาจะมีตบะธรรม ตบะธรรมจะแผดเผาจะทำลายกิเลสในหัวใจของตัว

แต่ของเรา เห็นไหม ของเราในสมัยปัจจุบันโลกเจริญๆ ไง ทุกคนว่ามันเจริญ ทุกคนมีการศึกษาไง ทุกคนเป็นผู้ที่ฉลาดไง ปัญญาเรามีมากมายมหาศาล เราจะพลิกแพลงแก้ไขของเราก็ได้ เขามีปัญญา ปัญญาของเรานี่ปัญญากิเลส กิเลสมันแผดเผาไง กิเลสมันเป่าหูไง กิเลสมันเป่าหูให้เรรวนใช่ไหม ให้พอเซไง พอเซกิเลสมันก็กระทืบซ้ำไง พอกระทืบซ้ำ “ฉันเป็นพระผู้ใหญ่ ฉันเป็นผู้มีศักยภาพ ฉันเป็นคนมีปัญญา” เวลากิเลสมันเผา กิเลสมันเป่าหู เห็นไหม มันเป่าหูแล้วมันก็เผา มันเผา เห็นไหม เราก็เชื่อมัน เวลากิเลสมันยุมันแหย่มันกระซิบนะ โอ้โหย! มันเชื่อไปหมดล่ะ

แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมวินัยนี้ไว้ เราได้มีความมั่นคงไหม เรามีความเชื่อมั่นในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไหม ถ้าคนมีความเชื่อมั่นในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราประพฤติปฏิบัติ เรามีความเข้มข้นของเรา ศีล สมาธิ ปัญญา มันจะไปไหนล่ะ ถ้าเรากำหนดหายใจเข้านึกพุธ ลมหายใจออกนึกโธนี่ เราอยู่กับพุทธานุสติ เราอยู่ก็เฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ

ดูสิ เวลาฆราวาสเขาๆ ต้องไปสังเวชนียสถานทั้ง ๔ เขาต้องไปกราบไปไหว้ไปบูชา ตอนนี้ทุกประเทศเลยสร้างจำลองไว้ วัดทุกวัดมีจำลองไว้หมดเลย ทุกอย่างมีจำลองไว้หมดเลย แล้วได้อะไรต่อ ทำอะไรต่อ แต่ถ้าเวลามีสติมีปัญญาขึ้นมาทำไมไม่มี เวลามีสติมีปัญญานะ เวลาหลวงปู่มั่น เห็นไหม เวลาท่านตรัสรู้ธรรมขึ้นมาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาอนุโมทนา เราไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาอนุโมทนากับหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์ของเรา ท่านมาอนุโมทนา

ในเมื่อสาวก สาวกะ ผู้ที่เบ่งบาน ดอกบัวบานท่ามกลางชาวพุทธ บานขึ้นมาท่ามกลางในหัวใจของหลวงปู่มั่น แล้วท่านจะเป็นศาสนทายาท เป็นผู้ที่รื้อค้น เป็นผู้ที่วางธรรมและวินัย เป็นผู้ที่วางข้อวัตรปฏิบัติให้เราก้าวเดินต่อไป ถ้าเวลารื้อค้นรื้อค้นกันที่นี่ไง เวลาชาวบ้านเขาต้องไปสังเวชนียสถานทั้ง ๔ เขาไปเพื่อความปลื้มใจของเขา เขาไปเพื่อความอบอุ่นของเขา เขาไปแล้วเขาชื่นชมของเขา แต่เวลาอยู่บ้านอยู่เรือนทำไมไม่ชื่นชมบ้างล่ะ ทำไมไม่มีความอบอุ่นเลยเหรอ หัวใจตัวเองไม่มีสติไม่มีปัญญารักษาหัวใจของตัวทั้งนั้นเหรอ เพราะอะไร?

เพราะมันไกลรัตนตรัยไง ไกลพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ไง นี่อยู่ใกล้กัน อยู่กับพระ เมืองไทยวัดเต็มบ้านเต็มเมือง พระนี่เป็นแสนเดินชนกันไปก็ชนกันมาไม่มีศรัทธาเลย ไปสังเวชนียสถานทั้ง ๔ โอ้โหย! มันปลื้มใจ โอย! มันสุขใจ มันปลื้มใจสุขใจ แล้วเขาก็จำลองมา ไปดูสิวัดทุกวันเดี๋ยวนี้เขาจำลองมาทั้งนั้น มันมาสร้างไว้ เขาจำลองมา จำลองมา ถ้าจำลองมาไม่ขลัง มันไม่ใช่ของจริง

ของจริงนั่นนะโดนฮินดูเขายึดครองไปหมดแล้ว อังกฤษเขาเข้าไปปกครอง เพราะอังกฤษเขาชอบเรื่องประวัติศาสตร์ เขาไปรื้อค้นขึ้นมา มันรื้อค้นขึ้นมาตั้งแต่อังกฤษเข้าไปปกครองทั้งนั้น ก่อนหน้านั้นมันหายไปหมดแล้ว แล้วอันไหนของจริง อันไหนของจริง มันทำลายไปหมดแล้ว แล้วต้องไปฟื้นฟูขึ้นมา แล้วเวลาจำลองมาล่ะ จำลองมามันไม่ใช่ของจริง มันของจำลอง จำลองเป็นสัญลักษณ์ สัญลักษณ์อย่างนั้นมันเรื่องของวัตถุเรื่องของโลก

แต่เรื่องของธรรมะ เรื่องของธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จากใจดวงหนึ่งสู่ใจดวงหนึ่ง จากใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านก็รื้อค้นของท่านขึ้นมา ท่านรื้อค้นของท่านขึ้นมาท่านรื้อค้นขึ้นมาได้ยังไง ท่านรื้อค้นขึ้นมาด้วยสติด้วยปัญญาของท่าน ด้วยอำนาจวาสนาของท่าน เห็นไหม ท่านไม่หูเบา ท่านไม่เชื่อสิ่งใดง่ายๆ กิเลสมันจะกระซิบกระซาบขนาดไหนท่านก็ไม่เชื่อมัน

กิเลสมันเป่าหูทุกวัน มันเป่าหูนะ ทำอย่างใด แล้วดูสิเวลาไม่มีครูบาอาจารย์นะ เราเผชิญกับกิเลสของเรา เราทำความสงบของใจเราเข้ามา เราจะก้าวเดินไปอย่างไร มันก้าวเดินไม่ได้ มันล้มลุกคลุกคลานอยู่อย่างนั้น คนเราไม่มีอำนาจวาสนาต้องพยายามขวนขวายเอา ขวนขวายเอา เก็บเล็กผสมน้อย คนที่เก็บเล็กผสมน้อยมา ฉะนั้น มันถึงเป็นนิสัยของหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น เห็นไหม ท่านเก็บเล็กผสมน้อย

หลวงตาท่านพูดประจำว่า “หลวงปู่มั่นท่านเป็นพระอะไร” ท่านเป็นพระอรหันต์ มั่นใจลูกศิษย์ของหลวงปู่เสาร์หลวงปู่มั่นท่านมั่นใจว่าหลวงปู่เสาร์หลวงปู่มั่นเป็นพระอรหันต์ทั้งนั้น แต่ความเป็นอยู่ของหลวงปู่มั่น เห็นไหม ท่านบอกว่าผ้าขี้ริ้วห่อทอง ถ้าทางโลกมันเหมือนผ้าขี้ริ้ว ไม่มีค่าเลย ถ้าค่าทางวัตถุค่าทางโลกไม่มีค่าเลย ไม่มีศักยภาพ ไม่มีค่า สิ่งที่มีคุณค่าเรื่องวัตถุในวัดท่านไม่มีอะไรเลย

แต่ถ้าพูดถึงทางธรรมๆ ยอดคน ยอดของคน ยอดคนเพราะมันเหนือโลกไง มันเหนือโลก เหนือปัจจัย เหนือโลกธรรม ๘ คำว่า เหนือโลกธรรม ๘ เห็นไหม ไม่ใช่โมฆบุรุษ โมฆบุรุษตายเพราะลาภ ตายเพราะลาภ ตายเพราะสักการะ ตายเพราะความนับถือ ตายเพราะความชื่นชม แล้วอยาก อยากนัก อยากให้เขาชื่นชม อยากให้เขานับถือ แต่ตัวเองชื่นชมตัวเองไม่ได้ ชื่นชมตัวเองไม่ได้เพราะอะไร เพราะเราขาดสติ พุทโธมันก็ขาดตอนซะ จะทำสมาธิหรือก็ล้มลุกคลุกคลาน ว่าจะเกิดปัญญาก็สงสัย มันชื่นชมตัวมันเองไม่ได้ไง มันเป็นปัจจัตตัง มันเป็นสันทิฏฐิโก เรารู้อยู่เต็มหัวอก เรามีมากมีน้อยเราก็รู้อยู่

ถ้าเราประพฤติปฏิบัติ เรามีสติ เห็นไหม เราก็มีความร่มเย็น ถ้าเรามีสติมีความร่มเย็น หลวงตาท่านพูดประจำ “สติเหมือนฝ่ามือน้อยๆ สามารถกั้นคลื่นทะเลได้” ดูสิ ทะเลเวลามันเกิดพายุขึ้นมามันรุนแรงขนาดไหน มือน้อยๆ สามารถกั้นคลื่นทะเลได้ สติของเรานี่มันสามารถกั้นคลื่นพายุอารมณ์ในหัวใจเราได้ อารมณ์หัวใจความมักมาก ความอยากใหญ่ ความไม่เอาไหน ล้มลุกคลุกคลานไปหมด แล้วกิเลสมันก็เป่าหู กิเลสมันก็แผดเผา เวลากิเลสมันแผดเผา กิเลสมันเป่าหูนะ ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้มาคำสองคำ สำคัญตนว่ามีอำนาจวาสนา สำคัญตนว่ามีมรรคมีผล กิเลสมันเป่าหูหน่อยเดียวมันลอยป่องไปเลยนะ

ดูสิ สมัยปัจจุบันนี้ทางธุรกิจเขาๆ พยายามปั่นกัน พยายามสร้างกระแสขึ้นมาให้เป็นฟองสบู่ เวลาเชิงธุรกิจมันขึ้น เวลามันขาขึ้น โอ๊ย! มีแต่คนชื่นชมมีแต่คนยินดีทั้งนั้นเลย เพราะมันมีแต่ผลประโยชน์ทั้งนั้นเลย แต่คนที่มีปัญญาเขารู้เลย ถ้าฟองสบู่แตกเศรษฐกิจเวลาขาลง เวลามันทรุดลงมันมีแต่ความทุกข์ มีแต่คราบน้ำตา มีแต่ความทุกข์ในหัวใจ ไม่มีสิ่งใดจะเป็นชิ้นเป็นอันเลย

นี่ก็เหมือนกัน อ่านธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาคำสองคำ ศึกษาประวัติครูบาอาจารย์มาสองสามตัว สำคัญตน มีความรู้ กิเลสมันเป่าหู มันคิดว่ามันมีความรู้ไง พูดสิ่งใดไปคนเขาจะโต้แย้งไม่ได้ เพราะเป็นคำพูดคำเดียวกับครูบาอาจารย์ที่พูด เป็นคำพูดคำเดียวกับในพระไตรปิฎก พุทธพจน์ๆ คำหนึ่งก็อ้างพุทธพจน์ สองคำก็อ้างพุทธพจน์

ครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นจริงท่านไม่เถียง ท่านไม่เถียงพุทธพจน์ ท่านไม่เถียงหรอก ทฤษฎีก็ทฤษฎี ทฤษฎีเป็นความจริงในตัวของมันเอง แต่คนที่ท่องทฤษฎีมา คนที่ศึกษามา มันมีสิ่งใดอยู่ในหัวใจของมันบ้าง เห็นไหม แล้วกิเลสมันก็เป่าหู พอเป่าหูขึ้นมานะมันก็สำคัญตนขึ้นมา โมฆบุรุษตายเพราะลาภ อยากให้เขาชื่นชม อยากให้เขาเชิดชู อยากให้เขาเคารพนับถือ เห็นไหม กิเลสมันก็เป่าหู เป่าหูแล้วกิเลสมันก็แผดเผา แผดเผานะ “ทำไมไม่เป็นอย่างนั้นล่ะ ทำไมฆราวาสญาติโยมเขาเชื่อมั่นในหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นล่ะ ทำไมเขาไม่มองหน้าเราเลยล่ะ ทำไมเขาไม่สนใจเราเลยล่ะ”

มันเหมือนเทวทัต เวลานางวิสาขามาเยี่ยมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันก็จะมีน้ำปานะมีต่างๆ มาฝากพระอานนท์ มาฝากพระนันทะ เทวทัตก็ลูกกษัตริย์เหมือนกัน เพราะเทวทัต สุปปพุทธะเป็นพ่อ เห็นไหม พระเจ้าสุทโธทนะเป็นพ่อขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สุปปพุทธะเป็นพี่หรือเป็นน้องของพระเจ้าสุทโธทนะ ก็ลูกกษัตริย์เหมือนกัน สถานะเหมือนกัน บวชเป็นพระเหมือนกัน ศีล ๒๒๗ เหมือนกัน ทำไมนางวิสาขาเขาสนใจแต่พระอานนท์ สนใจแต่พระนันทะ สนใจแต่พระที่เขาชื่นชมของเขา เทวทัตเขาก็มีของเขา ทำไมไม่ชื่นชมล่ะ ก็วางแผนคิดร้อยเล่ห์สันพันคมเล่ห์เหลี่ยมขึ้นมาไง จนทำให้ในสังฆมณฑลสะเทือนไปหมดไง

นี่ก็เหมือนกัน เวลากิเลสมันแผดเผาหัวใจๆ มันเป็นอย่างนี้ มันแผดเผา เห็นไหม มันเป่าหู แล้วก็ล้มลุกคลุกคลานแล้วก็แผดเผา แล้วเวลาพูด “เอ้า! พุทธพจน์นะ” ในเมื่อพุทธพจน์ พุทธพจน์น่ะสาธุ ครูบาอาจารย์ของเราที่ท่านประพฤติปฏิบัติมาไม่มีองค์ใดหรอกที่ท่านไม่เคารพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีองค์ใดหรอกที่ไม่เคารพธรรมและวินัย ถ้าไม่เคารพ ไม่เคารพมันก็ต้องสีลัพพตปรามาสสิ มันก็ต้องลูบคลำสิ

ทำไมครูบาอาจารย์ที่ท่านบรรลุธรรมขึ้นมาแต่ละชั้นแต่ละตอนขึ้นมานี่ อกุปปธรรมๆ อฐานะที่จะเสื่อม อฐานะเลย อฐานะมันเป็นเนื้อเดียวกันเลย ถ้ามันเนื้อเดียวกันเลยมันจะลูบคลำได้ยังไง เขาไม่ลูบคลำหรอก เขาเป็นจริงของเขา แต่เป็นจริงโดยข้อเท็จจริงในใจของเขา เขาไม่ได้เป็นจริงที่ปาก เขาไม่ได้เป็นจริงที่ความคิด ให้กิเลสมันแผดมันเผา เวลากิเลสมันแผดมันเผาแล้วมันก็เร่าร้อนไป พอเร่าร้อนไปเราก็ล้มลุกคลุกคลาน พอล้มลุกคลุกคลานมามันก็เรียกร้อง ไหนว่าบวชแล้วมีความสุขไง

ใช่ เวลาบวชนี้ได้บุญ บุญก็คืออามิส ดูสิ เวลาโยมที่เขามาทำบุญกุศลของเขาที่เขาเสียสละนั่น เขาเสียสละของเขานั่นก็บุญของเขา เราเสียสละสถานะของเป็นฆราวาสแล้วเราบวชเป็นพระได้บุญไหม ได้ ได้บุญแล้วพอเป็นพระแล้วทำดีทำชั่วนั่นอีกเรื่องหนึ่ง เวลาประพฤติปฏิบัติจริงหรือปลอมนั้นอีกเรื่องหนึ่ง เวลาเป็นไปแล้วมิจฉาหรือสัมมา มิจฉาสมาธิ สัมมาสมาธิ ถ้าปัญญาเป็นมิจฉาหรือปัญญาเป็นสัมมาอีกเรื่องหนึ่ง มันยังมีเหตุมีผลมีการกระทำของเราเข้าไปอีกมหาศาล มันจะให้กิเลสมายุมาแหย่ ยุแหย่แล้วกิเลสก็แผดเผา ตบะธรรมสิ ถ้ามันจะเผากิเลสมันก็ต้องมีตบะธรรม ให้กิเลสมันยุมันแหย่ กิเลสมันแผดเผา

ดูสิ พญามาร ปู่ของมาร เห็นไหม นี่พญามาร เวลาลูกของมันจอมทัพ กามราคะ ปฏิคะ เวลาหลานของมัน เห็นไหม หลานของมันกามราคะที่อ่อนลง เวลาเหลนมันเลยนี่สักกายทิฏฐิ เวลาครอบครัวของมาร เห็นไหม นี่แค่เหลน แค่เหลนของมันนี่เด็กน้อย เด็กน้อยความเห็นเรายังสู้มันไม่ได้เลย นี่ครอบครัวของมารไง เวลากิเลสมันแผดมันเผาไง ครอบครัวของมันไง เวลามันยกทัพเข้ามานี่ล้มลุกคลุกคลาน แล้วปฏิญาณตน เห็นไหม

ดูสิ บวชมาได้ผ้ากาสาวพัสตร์ ได้ผ้ากาสายะ เป็นธงชัยของพระอรหันต์ เราห่มอยู่นี่ห่มธงชัยพระอรหันต์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโบกสะบัดมาตลอด แล้วเรามาห่มธงชัยพระอรหันต์ แล้วให้กิเลสมันมาแผดเผา กิเลสมาเป่าหู กิเลสมายุแหย่ในใจ มันสมควรไหม ดูกองทัพนะ เวลากองทัพเขาจะรบทัพจับศึก เห็นไหม เขากลัวแนวที่ ๕ ความลับทางกองทัพ ความลับทางเสบียงอาหาร อาวุธ จำนวนพล เขาไม่ให้ข้าศึกรู้หรอก แล้วเขาก็มาสืบสภาพของเขา เขารู้ไส้สนกลในหมดเลย รู้เขารู้เรารบเมื่อไหร่ก็ชนะเมื่อนั้นนะ

ไอ้เรานี่ยังเซ่ออยู่นะ นักรบ เหม่อลอย หลวงปู่มั่นท่านบอก “ซากศพเดินได้” ซากศพเขาเอาไว้ในโลง เขาอยู่ในหลุม เวลาเขาจะเผาก็ไปขุดขึ้นมา ไอ้นี่เดินอยู่นี่มันซากศพ มันไม่มีสติไม่มีปัญญา เศร้าใจไหม ถ้ามันเศร้าใจเราไม่ใช่ซากศพ เกิดมาเป็นมนุษย์นี่ศักยภาพของความเป็นมนุษย์ เกิดเป็นมนุษย์ เห็นไหม ด้วยบุญกุศลถึงได้เกิดเป็นมนุษย์ มนุษย์สมบัติ ด้วยสติ ด้วยปัญญา ด้วยเห็นภัยในวัฏสงสาร

ภัยในวัฏสงสาร เห็นไหม โลกเขาแสวงหากัน จะมั่งมีศรีสุขอย่างไร จะทุกข์จนเข็ญใจขนาดไหน เขาก็เป็นทุกข์ ทุกข์ในวัฏฏะ เขามีทุกข์ประจำธาตุขันธ์ของเขาเป็นประจำ เราก็เป็นทุกข์เหมือนกับเขามาเป็นอย่างนั้น เราเกิดมาเป็นคนเหมือนกัน เราอยู่ในวัฏฏะเราก็เห็นถึงความทุกข์ของมัน ถ้าความทุกข์ของมันจะมั่งมีศรีสุขขนาดไหน ทุกข์จนเข็ญใจอย่างใด มันก็มีความทุกข์เป็นสัจจะเป็นความจริง

เพราะเราเห็นมีความทุกข์เป็นสัจจะเป็นความจริง เราถึงได้เสียสละ เราได้เสียสละมาบวชเป็นพระ บวชเป็นพระเพราะเราเห็นภัยในวัฏฏะ เพราะอะไร? เพราะทำบุญกุศลทำบาปอกุศลขนาดไหนมันก็เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เราจะพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เราถึงได้เสียสละมา เราได้เสียสละสถานะนั้นมา ถ้าเราไม่ได้บวชเป็นพระเราก็มีสถานะเหมือนเขาเหมือนกัน ถ้ามีสถานะเหมือนเขาขึ้นมา ใครมีอำนาจวาสนาของเขา เขาก็พยายามขวนขวายเพื่อความเป็นจริงในใจของเขา เขาพยายามขวนขวายเพื่อประสบความสำเร็จของเขา ถ้าประสบความสำเร็จขนาดไหนเขาก็ว้าเหว่ของเขา

เพราะทรัพย์สินเงินทองนี่ถ้าใช้สอยไปโดยที่ไม่มีสติไม่มีปัญญา มันก็มาทำลายตัวมันเอง ทรัพย์สินเงินทองได้มามากน้อยขนาดไหน เวลาถึงคราวเวลาเคราะห์กรรมขึ้นมา เขามาปล้นมาชิงมาทำลายเรา ข้าวของเงินทองควรที่เป็นประโยชน์กับเรากลับมาเป็นโทษกับเรา เพราะข้าวของเงินทองนั้นชักนำให้คนเข้ามาทำร้ายเรา ชีวิตเราต้องเสียไปเพราะทรัพย์สินที่เราหามาว่ามันจะเป็นประโยชน์กับเราๆ เห็นไหม ทั้งๆ ที่เขาหามาด้วยความสุจริตนั่นล่ะ แต่เวลาเวรกรรมมันให้ผลขึ้นมามันมีทุกข์มียากไปตลอด

แล้วชีวิตจะเป็นอย่างนั้นเหรอ เพราะเราเห็นความทุกข์อย่างนั้นใช่ไหม เราถึงได้เสียสละมา ถ้าเราเสียสละมา เสียสละมาเพื่อเป็นศากยบุตรพุทธชิโนรส แต่มันเป็นไปโดยธรรมโดยวินัย โดยญัตติจตุตถกรรมยกขึ้นมาเป็นสงฆ์ ยกขึ้นมาเป็นสงฆ์ เห็นไหม แล้วเป็นสงฆ์ เราจะลงอุโบสถกันอยู่นี่ ถ้าเป็นสงฆ์นะ ถ้าไม่เป็นสงฆ์ลงอุโบสถ นี่อุโบสถนั้นจะเป็นโมฆียะเป็นโมฆะไป

ถ้าเป็นสงฆ์มีความสมบูรณ์ในความเป็นสงฆ์ ในความเป็นสงฆ์มันเป็นจากญัตติจตุตถกรรม แต่เวลากิเลสมันแผดเผาล่ะ เวลากิเลสมันเผา มันเผาหัวใจนี่ มันละล้าละลังไปหมด เวลาคนบวชมาครั้งแรก เห็นไหม บวชมามีแต่ความองอาจกล้าหาญ มีแต่ความสะอาดบริสุทธิ์ สะอาดบริสุทธิ์ เห็นไหม กาในฝูงหงส์ หงส์ในฝูงกา เวลาเรามาบวชมานี่เรายังกับหงส์เลย ถ้าอยู่ในฝูงหงส์ด้วยกัน อยู่ในสังคมสงฆ์ที่สะอาดบริสุทธิ์ สังคมสงฆ์นั้นจะประพฤติปฏิบัติ มันก็ควรเป็นจริง มันควรจะเป็นจริงสิ นี่หงส์ในฝูงกา

ถ้ากาในฝูงหงส์ล่ะ บวชมาแล้วนี่สะอาดบริสุทธิ์ทั้งนั้น แต่บวชมาแล้วมันเอาจริงเอาจังไหม ถ้ามันไม่เอาจริงเอาจังมันจะให้กิเลสมันเป่าหู ให้กิเลสมันแผดเผา มันแผดเผานะ มันเผาๆ เวลาไฟป่ามันเผาป่า ไปดูเต่าสิ ดูเต่าที่มันหนีไม่ทัน เวลาไฟแผดเผามันมานี่มันคลานไปนะแล้วน้ำตาไหล หนีไม่ทัน ไฟความร้อนมา ควันไฟมา น้ำตาไหล แล้วไปไหนล่ะ เวลาไฟป่ามันเผาป่า เห็นไหม สัตว์ป่านี่เสียชีวิตไปหมดเลย

ไอ้นี่กิเลสมันเผาหัวใจของเรา หัวใจของเรา เห็นไหม ดูสิ ธาตุรู้นี่ เห็นไหม พุทธะ พุทธะนี่ปฏิสนธิจิต จิตนี่เกิดเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะแล้วมันก็มาเวียนว่ายตายเกิดมาเป็นเรา ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม พระโพธิสัตว์ ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย เวลาศึกษาพุทธประวัติไปดูสิชีวิตขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จิตหนึ่ง

แต่ของเราๆ ก็คิดแบบละครทีวี จะต้องเป็นอย่างนั้นๆ คาดหมายไปหมด แต่มันภพชาติใดก็ภพชาตินั้น ภพชาติใดก็ภพชาตินั้น ถ้าเป็นภพชาตินั้นก็อยู่ในภพชาตินั้น อำนาจวาสนาก็อยู่ในจิตใต้จิตสำนึกนั้น แล้วเพียงแต่ว่าเราจะทำออกมาได้มากน้อยแค่ไหนเท่านั้นเอง ถ้าเราทำออกมาได้มากน้อยแค่ไหนนั่นอำนาจวาสนานั้นมันจะส่งเสริมมา ถ้าส่งเสริมมาการประพฤติปฏิบัติมันก็จะเป็นความจริงบ้างขึ้นมา ถ้าเป็นความจริงขึ้นมา ถ้ามีครูบาอาจารย์คอยชักนำมันก็เป็นความจริงขึ้นมา ได้ความจริงได้ไง เป็นความจริงได้ เห็นไหม มันก็เป็นประโยชน์กับจิตดวงนั้น

เวลาเราเกิดมาเป็นมนุษย์ เพราะเราเห็นภัยในวัฏสงสารเราถึงได้มาบวชเป็นพระ ถ้าบวชเป็นพระแล้วนี่ ความที่ เห็นไหม ดูสิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้วนี่ถึงเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาเกิดมาเป็นเจ้าชายสิทธัตถะทำไมไม่เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าล่ะ เกิดมาเป็นเจ้าชายสิทธัตถะยังมีกิเลสตัณหาความทะยานอยากอยู่ในใจนั่นแหละ เวลาออกประพฤติปฏิบัติอยู่ ๖ ปี ก็ยังมีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ก็อยากได้ อยากดี อยากเป็น แต่มันก็ได้ดีได้เป็นไม่ได้

แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาตรัสรู้ธรรมขึ้นมา นั่นถึงจะเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เทวดา อินทร์ พรหม เห็นไหม พระอินทร์เป็นแค่เด็กอุ้มบาตรพระพุทธเจ้า เทวดาแค่เด็กล้างบาตร เด็กเช็ดบาตร ไอ้เราอยากเป็น อยากใหญ่ อยากผลในวัฏฏะ ไร้สาระ! ผลของวัฏฏะ

ถ้าผลของวัฏฏะ ดูสิ พระอาทิตย์ เห็นไหม นี่แรงโน้มถ่วง จักรวาลนั้นแรงดึงดูดอยู่ที่พระอาทิตย์หมด จิตเรามันหมุนเวียนไปในสถานะอย่างนั้นนะ มันเกิดจากที่นี้ ฉะนั้น ถ้าเรามีสติมีปัญญา เราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เห็นไหม ด้วยความจริง ด้วยการประพฤติปฏิบัติธรรม ธรรม ตบะธรรมจะเกิดขึ้นมา

ถ้าเกิดขึ้นมา เห็นไหม พุทโธ ใช้ปัญญาอบรมสมาธิ ถ้าจิตมันสงบเข้ามา จิตสงบเข้ามานี่ศูนย์กลาง ภวาสวะ ภพ สรรพสิ่งเกิดที่นี่หมด บุพเพนิวาสานุสติญาณย้อนอดีตชาติไป กี่ภพกี่ชาติ กี่ภพกี่ชาติในสถานะที่มันได้เป็นได้เคยเป็นเท่านั้น ได้เคยเป็นคนนั้นมันก็ใช้ชีวิตภพชาตินั้น บาปบุญอันนั้นมันก็สะสมลงสู่จิตนั้น จิตนั้นเคลื่อนจากชาตินั้นไป จิตนั้นเป็นผู้ที่จิตใต้สำนึกที่ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา อยู่ในจิตนั้น เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะนั้น

แต่ถ้าใครมีความสามารถ ใครทำความสงบของใจเข้าไปแล้วมีอำนาจวาสนา คือได้สร้างบุญกุศลมามันถึงจะน้อมเข้าไปได้ พระอรหันต์บางองค์ไม่เคยสามารถระลึกอดีตชาติได้เลย ผู้ที่ปฏิบัติบางคนไม่ได้เลย ไม่ได้เลย แต่ผู้ที่ระลึกอดีตชาติได้มากมายมหาศาลเลย แต่ไม่ได้เป็นพระอริยเจ้าเลยเยอะแยะไป นั่นมันเป็นอะไร เพราะมันเป็นฌานโลกีย์ ฤๅษีชีไพรเขาก็ทำของเขาได้ ไม่มีอะไรมหัศจรรย์เลย มันเป็นผลของวัฏฏะ มันเป็นเรื่องจักรวาล เป็นเรื่องของดวงดาว มันมีของมันอยู่อย่างนั้น ไม่มีความมหัศจรรย์ตรงไหน

แต่ถ้าจิตสงบยกจิตขึ้นสู่สติปัฏฐาน ๔ จิตนี้มีอำนาจมีคุณสมบัติยกขึ้นสู่วิปัสสนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม เวลาตรัสรู้ธรรมด้วยอาสวักขยญาณ ญาณหยั่งรู้ ญาณที่เป็นมรรคเป็นผล ไม่ใช่ฌานโลกีย์ ฌานโลกีย์คนที่วุฒิภาวะอ่อนแอก็คิดว่าเรารู้ไง เวลาจิตสงบแล้วเห็นแสงสว่าง เห็นดวงแก้ว เห็นสรรพสิ่งต่างๆ นิมิตทั้งนั้น เพราะดวงแก้วก็คือดวงแก้ว แสงสว่างก็คือแสงสว่าง ความว่างมันก็เป็นอากาศธาตุ สุญญากาศมันมีของมันอยู่ในโลกอยู่ในวัฏฏะ มีอยู่ทั่วไปหมดเลย

แต่เวลาจิตมันสงบแล้วนี่ชีวะ ชีวะสิ่งที่มีชีวิต สิ่งมีชีวิต เห็นไหม ดูเชื้อโรคที่มีชีวิตอยู่ในร่างกายของคน มันก็มีชีวิตของมัน แต่จิตนี้เป็นสันตติ สันตติสิ่งที่มีชีวิตที่ต่อเนื่อง สิ่งที่มีชีวิตที่ต่อเนื่อง เห็นไหม สิ่งที่จิตสงบเข้าไปแล้วนี่เข้าไปสู่สรรพสิ่งที่มันจุดเริ่มต้นจุดกำเนิดของภพของชาติ นี่ของภพของชาตินะ ดูสิ กามภพ รูปภพ อรูปภพ เห็นไหม นี่โลกธาตุทั้ง ๓ ของเขามีอยู่ของเขาอย่างนั้น

แต่จิตดวงนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะต่างหาก จิตดวงนี้ๆ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นไป ๒,๐๐๐ กว่าปี เวลาหลวงปู่มั่นท่านตรัสรู้ธรรม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาอนุโมทนา อนุโมทนาทำไม อนุโมทนาเพราะว่าด้วยอำนาจวาสนา ด้วยอำนาจวาสนาบารมีของหลวงปู่มั่นไง ที่ท่านสามารถสร้างศาสนทายาทต่อเนื่องได้

ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า วางธรรมและวินัยนี้ไว้ พระปัจเจกพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าก็เป็นพระอรหันต์เหมือนกัน เป็นผู้ตรัสรู้เองโดยชอบเหมือนกัน แต่ท่านก็สอนได้ด้วยชีวิตของท่าน ท่านไม่ได้วางต่อเนื่องไป พระปัจเจกพุทธเจ้ากับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้เองโดยชอบเหมือนกัน อำนาจวาสนาก็ยังแตกต่างกัน

แต่เวลาหลวงปู่มั่นท่านตรัสรู้ธรรมขึ้นมา นี่ท่านสร้างศาสนทายาท ท่านจรรโลงศาสนธรรมต่อเนื่องได้ นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงได้อนุโมทนาไง แล้วเวลาต่อเนื่องได้ ต่อเนื่องได้ที่ไหน ต่อเนื่องจากใจดวงหนึ่งสู่ใจดวงหนึ่งไง จากใจดวงที่ประพฤติปฏิบัติไง จากใจดวงหนึ่งที่ประพฤติปฏิบัติ ครูบาอาจารย์ของเราที่ท่านประพฤติปฏิบัติของท่าน ท่านก็ขวนขวายของท่าน ท่านก็ค้นคว้าของท่านเหมือนกันไง แต่ค้นคว้าไปอย่างไรแล้วนี่ ด้วยอำนาจวาสนาของท่านไม่มีบารมีพอ เห็นไหม ก็ต้องไปเฝ้าหลวงปู่มั่น เสาะแสวงหาหลวงปู่มั่น ให้หลวงปู่มั่นชี้แนะ ให้หลวงปู่มั่นแก้ไข ให้หลวงปู่มั่นนี่ แล้วหลวงปู่มั่นใครแก้ไขให้

ดูสิ ครูบาอาจารย์ที่ท่านบรรลุธรรม ท่านตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแต่ละองค์ เวลาท่านเข้าไปเผชิญกับกิเลส เห็นไหม กิเลสมันเป่าหู กิเลสมันขับไส กิเลสมันตลบตะแลง กิเลสมันพลิกแพลง พลิกแพลงให้คนปฏิบัตินี่หลงใหล ให้คนปฏิบัตินี่หันรีหันขวาง ให้คนปฏิบัติไม่รู้จะเดินทางไปทางไหน เห็นไหม นี่ไง เวลาครูบาอาจารย์เราท่านถึงเสาะแสวงหา เพราะเวลาเสาะแสวงหาหลวงปู่เสาร์หลวงปู่มั่นสมัยโบราณนะต้องเดินไป ข้ามภูเขาข้ามป่าข้ามเขาไปนี่ คิดดูสิ เดินไปเป็นวันๆ

กับถ้าเราใช้ปัญญาของเราเอง เราขวนขวายของเราเอง เราแก้ไขของเราเอง ถ้ามันมีความสามารถทำได้เราไม่ต้องเดินไปไหนเลย เราอยู่กับเรา เราสามารถแก้ไขของเราเองได้ นี่เดินข้ามภูเขาไปหลายๆ ลูก กับเดินในทางจงกรม ถ้ามันทำได้ไม่มีใครไปหาหรอก เพราะในทางจงกรม เดินจงกรมใช้ปัญญาใคร่ครวญของเรา ถ้ามันแก้ไขได้จะไปทำไม ข้ามป่าข้ามเขาไปนี่มันทุกข์มันทรมานทั้งนั้น ถ้ามันแก้ไขได้ นี้มันแก้ไขไม่ได้เนี่ยสิ มันทำไม่ได้มันถึงต้องขวนขวายไปหาครูบาอาจารย์ไง

นี่เพราะเหตุนั้นที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงมาอนุโมทนาๆ แล้วในปัจจุบันนี้ เห็นไหม ในปัจจุบันตั้งแต่สมัยหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ตั้งแต่สมัยครูบาอาจารย์เราเป็นรุ่นหนึ่ง พวกเรานี่เป็นรุ่นที่ ๓ รุ่นที่ ๔ แล้ว ทำไร่ทำสวนถ้าเขาลงพืชพันธุ์ไปแล้วนี่เก็บพืชผล เห็นไหม พอรุ่นปลายๆ คุณภาพมันก็ต่ำลงไปเรื่อยๆ รุ่นแรกๆ มันก็จะสมบูรณ์ของมัน ครูบาอาจารย์ของเรา ถ้าทันครูบาอาจารย์ถ้ารุ่นของท่านก็สมบูรณ์ของท่าน ไอ้นี่มันรุ่นท้ายๆ แมลงมันเจาะ เชื้อรามันเกาะจนต้นมันก็จะรักษาไว้ไม่ได้อยู่แล้วล่ะ แต่เราก็ยังได้เห็นร่องเห็นรอย

ถ้าเราเห็นร่องเห็นรอยนี่เราต้องฟื้นฟู ฟื้นฟูสติ ฟื้นฟูปัญญาของเรา ต้องขวนขวาย ต้องตื่นตัว อย่าไปนอนจมกับมัน อย่าไปนอนจมกับความคิด ความคิด ความคุ้นเคย ความเคยชินในใจน่ะกิเลสทั้งนั้น เราเกิดมาจากไหน เราเกิดมาจากอวิชชา คนเกิดทั้งหมดมีอวิชชา ไม่รู้ถึงมาเกิด พอมันเกิดขึ้นมาแล้วนี่ เกิดมาเป็นมนุษย์นะมันก็เหมือนเหรียญนะ มันมี ๒ ด้าน เหรียญมี ๒ ด้าน หัวกับก้อย

นี่ก็เหมือนกัน ชีวิตเราเกิดมาแล้วนี่มันก็ดีกับชั่ว เกิดมาแล้วนี่เลือกเอา เกิดนี่มนุษย์มีศักยภาพตรงนี้ไง มนุษย์เกิดมาแล้วมีอิสรภาพ จะทำดีก็ได้ ทำชั่วก็ได้ แต่เทวดา อินทร์ พรหม เขาเห็นของเขา เขาพยายามทำดีของเขา เพราะจิตของเขามันผ่องแผ้ว มันมองเห็นโลกธาตุหมด แต่เทวดามันชั่ว เวลาเทวดาชั่ว เห็นไหม คนที่ทำความชั่วแต่เคยได้ทำบุญกุศลกับพระอริยบุคคลต่างๆ ก็ไปเกิดเป็นเทวดาเหมือนกัน เวลาเทวดาที่ชั่วก็ทำลายเขาเหมือนกัน

ทั้งๆ ที่เขารู้เขาเห็นนี่แหละ เขารู้เขาเห็นแต่นิสัยสันดานมันเป็นอย่างนั้น นิสัยสันดาน เป็นอย่างนั้น เห็นไหม ดูสิ กิเลสมันแผดเผาๆ แม้แต่เทวดา อินทร์ พรหมนู่นน่ะ ถ้าเทวดา อินทร์ พรหมยังมีกิเลส แต่เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านประพฤติปฏิบัติขึ้นไปเป็นโสดาบัน เป็นสกิทาคามี เป็นอนาคาแต่ท่านยังไม่สิ้นกิเลสไป ท่านก็ไปเกิดเป็นเทวดาเป็นพรหมที่เป็นอริยเจ้า ถ้าเป็นอริยเจ้าขึ้นมา เห็นไหม จิตใจมันก็ไม่ลอกแลกโลเลไม่ไขว่คว้าไอ้กิเลสตัณหาความทะยานอยากอย่างนี้

แต่ถ้านี่มันทุกภพทุกชาติมีดีและเลว แต่นี้ครูบาอาจารย์ของเราเวลาประพฤติปฏิบัติขึ้น แล้วนี่นักปฏิบัติเราถ้าเป็นโสดาบัน เป็นสกิทาคา เป็นอนาคา เวลาไปเกิดขึ้นมามันมีคุณธรรมในใจของมัน นี่คุณธรรมของที่เป็นพระอริยเจ้า แต่คุณธรรมในทางโลก เห็นไหม ทำดีและชั่ว เวลาดีก็ดีแบบปุถุชน ชั่วก็ชั่วไปแบบปุถุชน คำว่าปุถุชนนะ ปุถุชนคนหนา มันรักษาตัวเองไม่ได้ไง แล้วเวลากิเลสมันเป่าหู เป่าหูก็คล้อยตามแล้ว เวลามันสร้างเหตุสร้างผลมันแผดเผานะ มันแผดเผา มันทำลาย

แต่เวลาเราจะมาประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม นี่หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์ของเรา เห็นไหม ประพฤติปฏิบัติธรรม ตบะธรรมมันแผดเผากิเลส เวลามันแผดเผากิเลส เห็นไหม กิเลสอยากได้อะไร ไม่เชื่อมัน เวลาบิณฑบาตได้สิ่งใดมา เป็นของที่ชอบ เป็นของที่ถูกกับธาตุขันธ์ ธาตุขันธ์ของใคร ใครชอบอย่างใด เวลาได้อาหารสิ่งนั้นมามันก็ถูกใจ ดีใจ อยากได้ ท่านโยนทิ้งเข้าป่า ท่านปาทิ้ง อะไรที่ไม่ถูกใจกินอย่างนั้น อะไรที่ถูกใจไม่กิน

เวลาจะต่อสู้กับมัน เวลาจะต่อสู้กับกิเลสท่านทำถึงขนาดนั้นนะ เวลาครูบาอาจารย์ที่ท่านทำ ท่านทำจริงๆ ไม่ใช่ฟังเขามาแล้วก็มาโม้ อยากอวด อยากโม้ พุทธพจน์ๆ พุทธพจน์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประวัติก็เป็นของครูบาอาจารย์ ผู้ศึกษาได้อะไร เขาศึกษามาเป็นแนวทาง เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมวินัยนี้ไว้ องค์หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นวางข้อวัตร วางข้อวัตรคือแนวทางที่เราจะต้องขวนขวายที่จะกระทำ ถ้ามันทำได้มันก็เป็นประโยชน์

ถ้าเราเป็นจริงขึ้นมามันเป็นจริงในหัวใจ ถ้าหัวใจเป็นจริงแล้วนะ ถ้าเป็นสมาธิเราจะเห็นคุณค่าของชีวิต เห็นคุณค่าของชีวิตนี่จริงๆ เห็นไหม ทางโลกเขาเสียสิ่งใดไปก็ให้เสียไปเถอะ แต่อย่าเสียหัวใจนี้ไป เพราะหัวใจนี้เป็นขวัญ เป็นขวัญและกำลังใจของชีวิต ถ้าขวัญและกำลังใจของชีวิตอยู่นี่มันสามารถฟื้นฟูได้ เสียสิ่งใดไปให้เสียแต่อย่าเสียใจ อย่าเสียหัวใจนี้ไป

แล้วเวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา จิตที่เป็นสมาธิขึ้นเป็นสมาธิได้ ดูสิ หลวงปู่พรหมท่านเป็นเศรษฐี ทำไมท่านมาคิดว่าท่านไม่มีลูก ท่านจะออกประพฤติปฏิบัติ ทำไมท่านเสียสละสมบัติทั้งหมดเลย แจกอยู่ ๗ วันถึงจะหมด สมบัติที่เขาแสวงหามา แสวงหามาเป็นของตนเอง ท่านเสียสละหมดเลย เสียสละหมดไปเลย แล้วท่านจะเป็นโสดาบัน เป็นสกิทาคา เป็นอนาคา เป็นอรหันต์ก็ไม่ใช่ ท่านเสียสละหมดไปเลย แล้วท่านเข้าไปบวช ไปบวชก็ปุถุชนนี้แหละ ไปบวชก็คนหนา แล้วเวลาไปภาวนานะ เวลามันทุกข์มันยาก สมบัติเรานี่ อู้ฮู้! มหาศาลเลย เราเสียสละหมดเลย แล้วตอนนี่มาพุทโธ พุทโธ แล้วมาขอชาวบ้านเขากิน เวลากิเลสมันเป่าหูนะ มันภาวนานี่มันจะคิดถึงตอนที่เรามี เศรษฐี เสียสละหมดเลย แล้วมาบวชแล้วมาเป็นทุคตเข็ญใจ แล้วก็ไปบิณฑบาตกับเขา คนทุกข์คนจนกิเลสสมันเป่าหูนี่ล้มลุกคลุกคลานเลย ท่านก็ฝืน ท่านก็ทน ท่านพยายามสร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมา นี่ไปเจอหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นให้กำลังใจ ให้อุบาย แล้วท่านประพฤติปฏิบัติของท่านมา

ฉะนั้น เราบวชมาแล้ว วันนี้วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธัมมจักฯ แสดงธัมมจักฯ คือประกาศว่า สัจจะความจริงมันมีอยู่ มันมีอยู่ในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ยังไม่ได้ประกาศให้ใครรู้

วันนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธัมมจักฯ ประกาศสัจธรรม ประกาศสัจธรรมให้โลกรู้ ความจริงอยู่ในหัวใจ แต่ประกาศสัจธรรมให้โลกรู้ เทวดาส่งข่าวเป็นชั้นๆ ขึ้นไป เพราะเทวดาเขารอของเขาอยู่แล้ว เขาปลื้มใจ เขาดีใจ ธรรมะเกิดแล้ว ธรรมจักร จักรได้เคลื่อนแล้ว จักรของธรรม กรงล้อแห่งธรรม กรงล้อแห่งธรรมได้เคลื่อนไป ไม่มีใครจะชัก ไม่มีใครจะกีดขวาง ไม่มีใครจะทำลายได้ จักรนั้นเคลื่อนไป เคลื่อนไปที่ไหน เคลื่อนไป เวลานักปฏิบัติ เวลาทำสมาธิได้จิตสงบตามความเป็นจริงยกขึ้นสู่วิปัสสนา นั่นล่ะธรรมจักร จักรมันเคลื่อน มรรคมันเคลื่อน มันมีมรรคมีผล เห็นไหม ธรรมจักรในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีตั้งแต่วันวิสาขะ แต่เวลาท่านมาแสดงธรรมจักร ท่านเสวยวิมุตติสุขมันเป็นความสุขของท่าน มันเป็นสัจจะความจริงในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เวลาแสดงธัมมจักฯ เห็นไหม พระอัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรม เทวดา อินทร์ พรหม ส่งข่าวเป็นชั้นๆ ขึ้นไป

วันนี้วันสำคัญ ถ้าวันสำคัญแล้วนี่ เห็นไหม เวลาวันอาสาฬหบูชา รุ่งขึ้นก็จะเป็นวันเข้าพรรษา วันเข้าพรรษาก็วันที่เราจะเผชิญกับสัจจะเผชิญกับกิเลส เราจะเผชิญกับกิเลส เห็นไหม เราจะประพฤติปฏิบัติธรรมให้เป็นตบะธรรม ให้ธรรมะแผดเผากิเลส อย่าไปยอมจำนน ให้กิเลสมันเผาหัวใจเรา กิเลสมันจะเผา กิเลสมันจะทำลาย ทำลายหัวใจของสัตว์โลกเพราะมันเป็นที่อยู่ของมัน เมืองของมัน นครของมัน ทั้งๆ ที่ว่าเป็นกิจของเรา แล้วมันทำให้เราเวียนว่ายตายเกิด ถ้าเรามีสัจจะมีความจริง เราจะพยายามสร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมาให้เป็นศาสนทายาท

องค์หลวงปู่มั่นเวลาท่านตรัสรู้ธรรม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาอนุโมทนา อนุโมทนาว่า “สัจธรรม ดอกบัวบานอยู่กลางกึ่งพุทธกาล สร้างสมเป็นคุณประโยชน์กับพระพุทธศาสนา”

เราเกิดมาเป็นชาวพุทธ เกิดมากึ่งกลางพุทธศาสนา เกิดมาได้ทันเชื้อทันสายของครูบาอาจารย์ ถ้าใครขวนขวาย ใครประพฤติปฏิบัติ ใครทำความเป็นจริง ใจดวงนั้นจะมีคุณธรรม ถ้ายังนอนจมอยู่กับกิเลสให้กิเลสมันขี่คอ ให้มันแผดเผา ให้มันทำลาย จะจมอยู่กับกิเลสอย่างนั้น เพราะเราเป็นปุถุชน การบวช บวชนี้มันเป็นวัฒนธรรมประเพณี การประพฤติปฏิบัติมันจะได้คุณธรรมขึ้นมาด้วยสัจจะ ด้วยความจริง ด้วยคุณธรรม เป็นอัตตัตถสมบัติของใจดวงนั้น เอวัง

c